Tuesday, July 12, 2011

ชนิดของแบตเตอรี่แบบต่างๆ


แบตเตอรี่ชนิดต่างๆและแบตเตอรี่รถยนต์
        เรา นำพลังงานไฟฟ้ามาเก็บไว้ให้คุณเพียงแต่แกะฝาออกคุณก็จะได้พลังงานออกมาใช้  แต่จะแกะฝาไหนละครับลองมาทำความรู้จักแต่ละฝา  แต่ละแบบซิครับ
        ทุกคนคงจะรู้จักกันดีถึงถ่านไฟฉาย  เพราะอย่างน้อยก็ต้องเคยใช้ในวิทยุ  ในกระบอกไฟฉาย  หรือในเครื่องเล่นเทป  แบบกระเป๋าหิ้ว  แต่เคยมีใครคิดไหมว่า  ทำไมถ่านไฟฉายบางชนิดถึงมีราคาแพง  และบางชนิดมีราคาแพงกว่าอีกชนิดหนึ่ง  มันเป็นความจริงหรือไม่ที่เขาโฆษณากันว่า  ถ่านไฟฉายชนิดนี้จะมีอายุการใช้งานนานกว่า    เป็น  2  เท่า  ของชนิดนั้น  และทำไมเครื่องไฟฟ้าบางอย่างถึงต้องเจาะจงใช้แบตเตอรี่  ชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับแบตเตอรี่ชนิดต่างๆ  ตลอดจนแสดงให้เห็นรูปแบบของแบตเตอรี่แต่ละชนิด  ซึ่งจะทำให้คุณรู้จักเลือกใช้แบตเตอรี่แต่ละชนิดให้เหมาะกับงานแต่ละอย่างใน ราคาที่สมเหตุสมผล
       
        เริ่มแรกเรามาทำความรู้จักกับคำว่าแบตเตอรี่กันก่อน  ถ่านไฟฉายที่เราเห็นกันนั้นเรียกว่า  เซล  (cell)  ถ้าพูดกันให้ถูกต้อง  คำว่าแบตเตอรี่ในความหมายทางไฟฟ้าก็คือ  การนำเซลเหล่านั้นมาต่อกัน  เซลทั้ง  4  ขนาดที่เราเห็นกันทั่วไปในรูปที่  1 , 2 , 3  และ  4  ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับของจริง
 ถึงแม้ว่าจะมีเซลหลายแบบมีขนาดต่างๆ  กัน  (ซึ่งผู้ผลิตแต่ละ...จะทำการผลิตเซลแต่ละชนิดออก  2 – 3  ขนาด  หรือมากกว่านั้น)  แยกออกเป็นขนาดต่างๆ  กันในขนาด  AAA  ขนาด  AA ขนาด  D  ตามลำดับ  ความจริง..ท้องตลาดมีเซลขนาดต่างๆ  กันมาก

เซลแบบอนุกรม
       
        แบตเตอรี่ ขนาดหนึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ  ขนาด  PP – 3  ซึ่งแสดงไว้ในรูปที่  5  ก็ที่เรียกกันติดปากว่าถ่าน  9  โวลท์แหละครับ  แบตเตอรี่ขนาด  PP – 3   นี้เรียกว่าเป็นแบตเตอรี่ได้อย่างแท้จริง  เนื่องจากมันประกอบไปด้วย  เซลขนาดเล็ก  6  เซลต่ออนุกรมกัน  บรรจุอยู่ในตัวถังแสดงในรูปที่  6  แต่ละเซลจะมีแรงดัน  1.5  โวล์ท  ดังนั้นแบตเตอรี่ขนาด  PP – 3  จึงมีแรงดัน  9  โวล์ท  แบตเตอรี่ชนิดอื่นซึ่งเป็นแบบ  PP  ก็มี  PP – 1,  PP – 6,  PP – 9  และอื่นๆ  อีก  ซึ่งมีโครงสร้างเช่นเดียวกับ  PP – 3   
       
         แต่อย่าลืมนึกถึงแบตเตอรี่อีกชนิดหนึ่งซึ่งใช้กันทั่วไป  นั้นก็คือ  แบตเตอรี่รถยนต์  ซึ่งภายในประกอบด้วยเซลมาต่ออนุกรมกัน  6  เซล  ข้อแตกต่างกับแบตเตอรี่อื่นก็คือ  เซลภายในตัวแบตเตอรี่แต่ละเซลจะมีแรงดัน  2  โวล์ท  ดังนั้นแบตเตอรี่รถยนต์นี้จึงสามารถจ่ายแรงดันได้  12  โวล์ท  มีบางสิ่งที่แตกต่างไปสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์กับแบตเตอรี่ต่างๆ  ที่กล่าวถึงในตอนแรกนั่นคือ  มันสามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้สำหรับใช้ในการติดเครื่องยนต์  เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วเยเนอเรเตอร์ในรถก็จะหมุนปั่นไฟประจุกับสู่ แบตเตอรี่ได้

                                                                                 
         รูปที่  6  แสดงถึงลักษณะโครงสร้างภายในของแบตเตอรี่ขนาด  PP–3  โดยเซลทั้ง  6  เซลจะต่ออนุกรมกัน 

        การที่แบตเตอรี่รถยนต์สามารถประจุไฟเข้าไปได้  ก็เนื่องมาจากมันถูกสร้างให้เป็นเซลแบบทุติยภูมิ  (secondary  cell)  โดยเซลแบบทุติยภูมินั้น  เมื่อสร้างขึ้นแล้วต้องนำไปทำการประจุไฟหรือชาร์จไฟเสียก่อน  จึงจะจ่ายกระแสไฟฟ้าออกมาได้  และเมื่อใช้กระแสไฟฟ้า  (discharge)  ไปจนกระแสอ่อนลงแล้วก็นำไปประจุไฟใหม่ได้  ซึ่งไม่เหมือนกับเซลที่กล่าวถึงในตอนแรก  ซึ่งเป็นขนาด  AAA  ขนาด  AA ขนาด  C  ขนาด  D  และขนาด  PP  ทุกแบบ  โดยทั่วไปนั้นเซลขนาดเหล่านี้ถูกสร้างมาเป็นแบบเซลปฐมภูมิ  ซึ่งเซลชนิดนี้เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็นำไปใช้เพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าออกมาได้ ทันที  เมื่อใช้ไปแล้ว  ส่วนประกอบบางส่วนจะหมดเปลืองไปโดยไม่กลับมาเป็นสภาพเดิมได้อีก  หลังจากที่ใช้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว  ต้องเปลี่ยนส่วนประกอบใหม่จึงจะใช้ได้ดีดังเดิม  และไม่สามารถประจุไฟฟ้าเข้าไปใหม่ได้  นอกจากนี้ยังมีเซลแบบทุติยภูมิที่มีขนาดเดียวกับเซลแบบปฐมภูมิ  ดังกล่าวมีขายอยู่ในท้องตลาดซึ่งรู้จักกันในนามของเซลแบบนิกเกิล – แคดเมี่ยม  (Nickel  Cadmium)  หรือเรียกกันย่อๆ  ว่านิแคด  (Nicad)  แต่เราจะไม่นำมากล่าวในที่นี้ 

         ในหัวข้อต่อไปนี้  เราจะมาศึกษาให้ลึกซึ่งถึงเซลแบบปฐมภูมิชนิดต่างๆ  ที่มีขายกันอยู่ในขณะนี้ว่ามันทำมาจากอะไร  สามารถจ่ายกระแสออกมาได้อย่างไร  ตลอดจนถึงประโยชน์ในการนำมันไปใช้งานต่อไป

                                      
รูปที่  1  แสดงถึงเซลขนาด  AAA  ซึ่งมีความสูงประมาณ  44.5  มิลลิเมตร  และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง  10.5 
             มิลลิเมตร
รูปที่  2  เป็นเซลขนาด  AA  มีความสูงประมาณ  50  มิลลิเมตร  และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง  14  มิลลิเมตร  และเป็น
             เซลขนาดหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในกระบอกไฟฉาย  วิทยุ  และพวกซาวน์อะเบ๊าท์
รูปที่  3  แสดงถึงเซลขนาด  C  ซึ่งมีความสูงประมาณ  49  มิลลิเมตร  และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง  25 
             มิลลิเมตร
รูปที่  4  เป็นเซลขนาด D  มีความสูงประมาณ  60  มิลลิเมตร  และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง  33.2  มิลลิเมตร  ซึ่งเป็น
             ขนาดที่นิยมใช้กันมากในที่สุดในวิทยุกระเป๋าหิ้ว
รูปที่  5  เป็นเซลขนาด PP - 3  หรือแบตเตอรี่  9  โวล์ตซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี  เพราะว่าใช้ในพวกเครื่องเล่นต่างๆ   
             ขนาด  PP - 3  นั้นจัดว่าเป็นแบตเตอรี่อย่างแท้จริง  ซึ่งประกอบด้วยเซลมาต่อกันเป็นชุด  ซึ่งต่างกับ  4 
             ขนาดแรกที่กล่าวมา


การทำงานของเซลไฟฟ้า       
        เซลไฟฟ้านั้นสร้างขึ้นได้โดยการนำแท่งตัวหรือเรียกว่า  แท่งอิเลคโทรด  (electrode)  2  แท่งมาจุ่มลงไปในสารละลายที่เรียกว่า  อิเลคทรอไลท์  (electrolyte)  ดังแสดงให้เห็นในรูปที่  7  แท่งอิเลคโทรดแท่งหนึ่งจะเรียกว่าอาโนด  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโลหะ  ส่วนอีกแท่งหนึ่งเรียกว่า  คาโถด  ซึ่งส่วนใหญ่จะนำมาจากออกไซด์ของโลหะ
       
        ออกไซด์ของโลหะเกิดจากการรวมตัวกันระหว่างอะตอมของโลหะกับออกซิเจน  ตัวอย่างที่เห็นกันบ่อยๆ  ของออกไซด์ของโลหะก็คือ  ออกไซด์ของเหล็กที่เรียกกันว่า  สนิมเหล็ก  ซึ่งเกิดจากการทิ้งเหล็กไว้ในอากาศ  ซึ่งโลหะส่วนมากแล้วจะรวมตัวกับออกซิเจน  เมื่อนำออกไซด์ของโลหะมาใช้ในเซลจะเป็นการใช้ในทางสร้างสรรค์  ไม่เหมือนกับสนิมเหล็กซึ่งเป็นตัวทำลาย
       
        ส่วนอิเลคทรอไลท์ทำจากสารต่างๆ  ได้หลายชนิด  ซึ่งจะเลือกใช้ให้เหมาะกับอิเลคโทรดแต่ละชนิดเท่านั้น  โดยที่เซลต่างชนิดกันจะใช้อิเลคโทรดต่างกัน  ทำให้ใช้อิเลคทรอไลท์ต่างกันด้วย  แต่อิเลคทรอไลน์แบบใดก็ตามก็เป็นตัวนำไฟฟ้าซึ่งจะให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน  ในทิศทางใดโดยเฉพาะซึ่งเราจะกล่าวถึงต่อไป

        โลหะที่ใช้เป็นอาโนดนั้น  จะเลือกให้มีความสามารถในการรวมตัวกับออกซิเจนได้ดีกว่าโลหะที่ใช้เป็นคาโถ ดถ้านำเอาอาโนดและคาโถดมาวางไว้ด้วยกัน  อาโนดจะดึงเอาออกซิเจนออกจากออกไซด์ของโลหะ  ซึ่งเป็นคาโถดและทิ้งแท่งคาโถดไว้เป็นโลหะ  ในกรณีนี้เราเรียกว่าอาโนดถูกออกซิไดซ์  (oxidised)  ส่วนคาโถดนั้นจะถูกรีดิวซ์  (reduced)
       
         อิเลคทรอไลท์นั้นเป็นสารเคมีเฉพาะ  ซึ่งยอมให้การแลกเปลี่ยนของออกซิเจนระหว่างอาโนดและคาโถดเกิดขึ้น  โดยแท่งอาโนดและคาโถดไม่จำเป็นต้องมาแตะก้น  ในกรณีนี้สารอิเลคทรอไลท์จะเป็นตัวนำอนุภาคของออกซิเจน  (ซึ่งมีประจุลบ)  ซึ่งเกิดขึ้นที่คาโถดเคลื่อนที่ข้ามไปสู่อาโนด  ดังนั้นคาโถดจึงถูกรีดิวซ์  ส่วนอาโนดจะถูกออกซิไดซ์  ซึ่งเงื่อนไขในกรณีนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเซลอยู่ในลักษณะรูปที่  7  ถึงแม้ว่าเราจะพูดว่าเกิดความต่างศักย์ขึ้น  (ซึ่งหมายถึงแรงดันไฟฟ้า)  ในการที่ประจุของออกซิเจนจะไปรวมตัวกับโลหะที่แท่งอาโนด  อนุภาคแต่ละอนุภาคของโลหะจะต้องปล่อยอิเลคตรอนออกมา  ในขณะเดียวกับที่อนุภาคของออกซิเจนจะออกจากแท่งคาโถด  และเข้าไปในสารอิเลคทรอไลท์จะต้องได้รับประจุมา

        เราสามารถใช้ความต่างศักย์นี้ให้เป็นประโยชน์  ถ้าเราต่อวงจรไฟฟ้าเข้ากับขั้วของแท่งอาโนดและคาโถด  ดังแสดงในรูปที่  8  ในกรณีนี้อิเลคตรอนซึ่งมาจากการปล่อยของออกซิเจนเพื่อที่จะไปรวมตัวกับแท่ง อาโนด  จะเคลื่อนที่จากแท่งอาโนดเข้าไปในวงจรผ่านหลอดไฟ  (ทำให้หลอดไฟสว่างขึ้น)  และเคลื่อนกลับไปสู่แท่งคาโถดซึ่งมันสามารถประจุอนุภาคของออกซิเจนได้ดี กว่า  การไหลของประจุอิเลคตรอนจะทำให้เกิดการไหลของกระแสขึ้นในวงจนที่อยู่จน กระทั่งแท่งคาโถดไม่มีอนุภาคของออกซิเจน  หรือจนกระทั่งอาโนดถูกออกซิไดซ์หมดแล้ว  ที่จุดนี้เรากล่าวได้ว่า  เซลคายประจุออกอนุภาคของประจุที่ไหลผ่านอิเลคทรอไลท์เรียกว่า  อิออน  (ion)  ซึ่งจะมาจากสารอื่นๆ  ได้หลายชนิด  ไม่เฉพาะแต่ออกซิเจนเท่านั้น  ขึ้นอยู่กับเซลแต่ละชนิดและอิเลคทรอไลท์ที่ใช้ซึ่งก็ใช้หลักการเดียวกัน 

        เนื่องจากการใช้อิเลคทรอไลท์แตกต่างกัน  ตลอดจนใช้อาโนดและคาโถดที่แตกต่างกัน  ทำให้สามารถผลิตเซลชนิดต่างๆ  ซึ่งมีราคาตลอดจนคุณสมบัติแตกต่างกัน  เราจะมาศึกษาดูถึงตัวแปรที่แตกต่างกันของเซลทั้งหมด  ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อที่จะได้รับทราบข้อเปรียบเทียบของเซลแต่ละ ชนิด  เมื่อได้ไปสัมผัสกับมัน

                          
                                       รูปที่ 7 เป็นเซลแบบพื้นฐานแสดงถึงอาโนดคาโถด และอิเลคทรอไลท์

                         
                             รูปที่ 8 เป็นการทำงานของเซลแบบพื้นฐานในกรณีนี้ใช้ทำให้หลอดไฟฟ้าสว่างขึ้นมา

แรงดันกับความต้านทาน
        ความต่างศักย์ภายนอกของเซลนั้น  เรียกกันว่าเป็นแรงเคลื่อนไฟฟ้า  (electro  motive  force  หรือย่อว่า  EMF)  ค่าที่แน่นอนนั้น  (โดยปกติจะอยู่ประมาณ  1.5  โวลท์)  จะขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุที่นำมาเป็นอาโนดและคาโถด  และชนิดของสารอิเลคทรอไลท์  นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและอายุของเซล  สำหรับเซลใหม่แรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุด  (rated)  อยู่เล็กน้อยคือประมาณ  1.6  โวลท์  และจะตกลงมาเป็นค่าต่ำประมาณ  1.2  โวลท์  เมื่อเซลเก่าและคายประจุหมด 
        การแปรเปลี่ยนไปของแรงเคลื่อนไฟฟ้าของเซลแม้ว่าจะเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ก็ไม่เจาะจงนัก  เนื่องจากวงจรอิเลคทรอนิคส์หลายชนิดไม่ต้องการแรงดันไฟฟ้าที่คงที่และสม่ำ เสมอในการทำงาน  อย่างไรก็ตามมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า  นั่นคือ  ความต้านทานภายในของเซล  (internal  resistance)  ภายในตัวเซลเองเกิดจากโครงสร้างและสารที่ใช้ทำ  ค่าความต้านทานภายในนี้  ไม่สามารถละทิ้งได้  แต่จะมีค่าน้อยมากซึ่งขึ้นอยู่กับเซลแต่ละชนิด

                          
        รูปที่  9  ก.,ข.และ ค.เป็นวงจรเทียบเท่า (ในรูปที่8) ของเซลขนาด1.5โวลท์  แสดงถึงความต้านทานภายในเซล

        เราจะเห็นผลของค่าความต้านทานภายใน  ถ้าเราดูตามแผนผังในรูปที่  9  ก.  ซึ่งเป็นวงจรเทียบเท่าของเซลไฟฟ้า  ซึ่งจะประกอบด้วยตัวกำเนิดแรงดันต่ออนุกรมอยู่กับตัวต้านทาน  โดยที่ตัวกำเนิดแรงดันจะแทนความต่างศักย์ของอาโนดคาโถด  และอิเลคทรอไลท์ร่วมกัน  ในขณะที่ตัวต้านทานนั้นจะแทนความต้านทานภายในของเซลไฟฟ้า
ในรูป  9.  ข.  แสดงให้เห็นเซลไฟฟ้า  ซึ่งมีตัวกำเนิดแรงดันค่า  1.5  โวลท์  และมีค่าความต้านทานภายใน  (R1)  ค่า  10  โอห์ม  ต่ออยู่กับความต้านทานซึ่งเป็นวงจรภายนอก  มีค่า  1.5  กิโลโอห์  เราสามรถคำนวณค่าของกระแสที่ไหลผ่านวงจรโดยใช้กฎของโอห์มว่า

  I = ( 1.5 / 1500 ) = 1mA...... มิลลิแอมป์
        อย่างไรก็ตาม  ค่าความต้านทานภายในเซลที่ต่ออนุกรมอยู่ก็มีผลต่อค่ากระแส  และต้องนำเข้ามาคิดด้วย  โดยวงจรจะเขียนใหม่เป็นดังรูปที่  9  ค.  ซึ่งเราจะเห็นตัวต้านทาน  2  ตัวติดต่อกันอยู่เป็นวงจรแบ่งแรงดัน  ซึ่งแรงดันที่ตกคร่อมตัวต้านทานภายนอกค่า  1.5  กิโลโอห์ม  นั้นเท่ากับ 
 V R 2    =  ( R2  / ( R1+R2 ) ) X 1.5

             =  ( 1500 / ( 10+ 1500 ) ) X 1.5

             =  1.49  โวลท์

 ซึ่งต่ำกว่าที่เราคาดไว้  และค่ากระแสที่ไหลผ่านตัวต้านทานภายนอกเท่ากับ
  I = ( 1.49 / 1500 )   = 0.99  mA
        ซึ่งมีค่าต่ำลงเล็กน้อย  ค่าแรงดันและกระแสที่ต่ำลงเพียงเล็กน้อยไม่มีผลเพียงพอที่จะกระทบการทำงาน ของวงจร ลองมาดูวงจรใหม่ในรูปที่  10  ซึ่งวงจรภายนอกที่นำมาต่อมีความต้านทานทั้งหมดเพียง  5  โอห์ม  เหมือนกับตัวอย่างที่แล้ว   เราจะคำนวณค่ากระแสในวงจรตอนแรก  เมื่อยังไม่คิดถึงความต้านทานภายในเซล  ได้ค่ากระแสเท่ากับ
  I =  ( 1.5 / 5 )   = 300  mA
  แต่เมื่อนำเอาค่าความต้านทานภายในเซลมาคิดด้วย  ค่าแรงดันจริงๆ  ที่ตกคร่อมความต้านทานภายนอก  คือ
 V R 2 =  ( 5 / ( 10+5 ) ) x 1.5 = 0.5 V

ค่ากระแสจริงๆ  ที่ไหลผ่าน  คือ

  I =  ( 0.5 / 5 )   = 100  mA
        ซึ่งค่าแรงดันและกระแสที่ลดต่ำลงอย่างมากนี้  จะมีผลกระทบอย่างมากมายต่อการทำงานของวงจรภายนอกที่นำมาต่อด้วยไม่เฉพาะแต่ ความต้านทานภายในเซลจะไปลดค่ากระแสที่ไหลผ่านวงจร  ภายนอกซึ่งเซลจะจ่ายออกไป  แต่ยังเป็นการสูญเสียพลังงานอีกด้วย  โดยจากตัวอย่างข้างต้นแรงดันที่ตกคร่อมความต้านทานภายในเซลเป็น  1.5 – 0.5 =  1  โวลท์  ทำให้เกิดกำลังงานสิ้นเปลืองไปเท่ากับ
  P = ( V2 / R )  =   (1/10 )  =  0.1  W
        ซึ่งจะสูญเสียไปเป็นความร้อน  เนื่องมาจากความต้านทานภายในเซลตัวเซลจะอุ่นขึ้นซึ่งจะเป็นการเพิ่มค่า  ความต้านทานภายในขึ้นอีกและจะมีผลให้ค่าแรงดันที่ตกคร่อมขึ้นอีก  วนเวียนกันเป็นวัฏจักรไปเรื่อยๆ  ซึ่งเป็นกรณีที่เลวร้าย  ทำให้วงจรภายนอกที่นำมาต่อกระแสไฟฟ้าไม่พอเลี้ยงให้วงจรทำงานต่อไปได้  และถึงแม้ว่ากระแสจะพอเลี้ยงวงจรได้  พลังงานที่สูญเปล่านี้ก็จะไปลดอายุการใช้งานของเซลลง
        ดังนั้น  จะเห็นว่าค่าความต้านทานภายในเซลจะเริ่มมีความสำคัญ  ถ้ากระแสที่จ่ายออกจากเซลมีค่ามาก  โดยการลดค่าของความต้านทานภายในเซลลง  ผลกระทบเนื่องจากความต้านทานภายในเซลก็จะลดน้อยลง  แต่ก็ยังไม่สามารถลดลงจนเป็นศูนย์ได้

กำลังงานต่อชั่วโมง        คุณลักษณะสำคัญอันหนึ่งของเซลไฟฟ้า  ซึ่งเราจำเป็นต้องศึกษาก่อนที่จะรู้ถึงชนิดของเซลแบบต่างๆ  นั้น  ก็คือ  ค่าความจุของเซล  (cell  capacity)  ซึ่ง  คือปริมาณของกระแสไฟฟ้าซึ่งเซลหนึ่งๆ  สามารถจ่ายออกไปได้ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  ยกตัวอย่างเช่น  เซลไฟฟ้าเซลหนึ่งมีความจุ  1,000  มิลลิแอมป์ชั่วโมง  หมายความว่า  (โดยการไม่คิดถึงค่าความต้นทานภายในเซล)  เซลนี้สามารถจ่ายกระแสได้  1,000  มิลลิแอม  เป็นระยะเวลา  1  ชั่วโมง  หรือจ่ายกระแสได้  100  มิลลิแอมป์เป็นเวลา  10  ชั่วโมง  หรือจ่ายกระแสได้  20  มิลลิแอมป์  เป็นเวลา  50  ชั่วโมง  เป็นต้น 
       
        แต่ถ้ากล่าวถึงค่าความจุกระแสของเซลในรูปของมิลลิแอม – ชั่วโมง  โดยลำพัง  ไม่ได้หมายถึงความจุทั้งหมดของเซล  บางครั้งเราจะคำนึงถึงค่าแรงดันของเซลเป็นส่วนหนึ่งของค่าความจุของเซลด้วย  ซึ่งทำได้โดยการคูณค่าความจุกระแสของเซลด้วยค่าแรงดันของเซล  ซึ่งจากตัวอย่างแรงดันของเซลเท่ากับ  1.5  โวลท์  ดังนั้น  มันจะมีความจุของพลังงานทั้งหมดอยู่ในหน่วยของมิลลิวัตต์-ชั่วโมง  เช่น
 
1000 X1.5 V     =     1500 mWh

                                                          
              รูปที่10 แสดงถึงผลของความต้านทานภายใน ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของวงจรที่ภาวะกระแสสูงๆ

เซลแบบสังกะสี – ถ่าน  (Zinc  Carbon  Cell)
        เซลแบบสังกะสี – ถ่านที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้  ได้หลักการมาจากเซลแบบเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส  ชื่อ  จอร์จ  เลอคลังเช่  ในปี  พ.ศ. 2409  ซึ่งลักษณะเป็นโถแก้ว  โดยมีแมงกานีสไดออกไซด์เหลว  ซึ่งทำหน้าที่เป็นคาโถดบรรจุในหม้อรูพรุน  โดยตัวหม้อจะถูกล้อมรอบด้วยแอมโม-เนี่ยมคลอไรด์  ซึ่งทำหน้าที่เป็นอิเลคทรอไลท์  โดยมีแท่งสังกะสีจุ่มอยู่ในอิเลคทรอไลท์ทำหน้าที่เป็นอา-โนด  การต่อออกมาจากแมงกานีสไดออกไซด์  ซึ่งเป็นคาโถดจะต่อโดยใช้แท่งถ่าน  ส่วนเซลแบบสังกะสี – ถ่าน  ในปัจจุบันนี้ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นระยะเวลายาวนานนับจากวันของเซลแบบเลอคลัง เช่  ซึ่งรู้จักในนามของเซลแบบเปียก  (wet  cell)  เนื่องจากลักษณะของส่วนผสมของอิเลคทรอไลท์
        ตัวถังภายนอกของเซลแบบแห้งสมัยใหม่นี้ทำจากโลหะสังกะสีและทำหน้าที่เป็นอาโน ด  ภายในตัวถังสังกะสีจะเป็นชั้นบางๆ  ซึ่งแยกอาโนดออกจากคาโถดและบรรจุไว้ด้วยอิเลคทรอไลท์จนเต็ม  อิเลคทรอไลท์นั้นเป็นส่วนผสมของแอมโมเนียมคลอไรด์และซิงค์คลอไรด์  ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ  คาโถดนั้นจะประกอบด้วยผงแมงกานีสไดออกไซด์ผสมกับผงถ่านและอิเลคทรอไลท์  ทำให้มีลักษณะเหลวๆ  และภายในจะสอดแท่งถ่านไว้  ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสะสมกระแส  ภายนอกตัวถึงจะห่อด้วยกระดาษหลายชั้น  และชั้นนอกสุดจะเป็นแผ่นพลาสติกบางๆ  หุ้มอยู่
โดยการเปลี่ยนส่วนผสมของ อิเลคทรอไลท์จะสามารถทำเซลแบบสังกะสี – ถ่านได้หลายแบบ  ซึ่งเหมาะกับงานแต่ละชนิด  ยกตัวอย่างเช่น  อิเลคทรอไลท์ที่ทำจากซิงค์คลอไรด์อย่างเดียว  จะทำให้ได้เซลที่มีค่าความต้านทานภายในต่ำลง  ทำให้เหมาะกับงานหนักที่ต้องจ่ายกระแสสูง  เช่นเดียวกับการใช้ส่วนผสมของแมงกานีสไดออกไซด์  ที่มีคุณภาพเป็นคาโถดก็จะให้ผลเช่นเดียวกัน

เซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีส  (Alkaline  Manganese  Cell)
        ในเซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีสนั้น  สารที่ใช้ทำอาโนดและคาโถดใช้สังกะสี  และแมงกานีสไดออกไซด์  เช่นเดียวกับเซลแบบสังกะสี – ถ่าน  โดยที่อาโนดนั้นประกอบด้วยผงสังกะสีซึ่งทำให้เพิ่มพื้นที่ผิวขึ้น  จะผสมกับอิเลคทรอไลท์รวมกันอยู่ในลักษณะเหลวๆ 

                          
                                                รูปแสดงโครงสร้างของเซลแบบเลอคังเช่  (Lechanche  cell)

แมงกานีสไดออกไซด์  ซึ่งทำหน้าที่เป็นคาโถดของเซลแบบอัลคาไลท์แมงกานีสนั้น  ทำมาจากสารที่บริสุทธ์กว่า  ซึ่งรู้จักกันในนามของอิเลคทรอไลติค  แมงกานีสไดออกไซด์  ซึ่งผลิตขึ้นมาเพื่อให้มีความจุของออกซิเจนเพิ่มขึ้น  ส่วนผสมของโปตัสเซี่ยมไฮดรอกไซด์  ซึ่งเรียกว่า  อัลคาไลน์นั้นจะมีค่าความนำไฟฟ้าสูงมาก  ทำหน้าที่เป็นอิเลคทรอไลท์  โดยการใช้อิเลคทรอไลท์และสารที่ใช้ทำอาโนด  และคาโถดที่มีคุณภาพสูงทำให้เซลชนิดนี้เหมาะสำหรับงานหนักทที่ใช้กระแสสูง  เป็นเซลที่มีคุณภาพสูงพร้อมทั้งมีค่าความต้านทานภายในต่ำ  และมีค่าความจุพลังงานสูง
                         
                                             รูปที่  11  แสดงถึงโครงสร้างภายในของเซลแบบสังกะสี - ถ่าน
 

                         
                                       รูปที่  12  แสดงถึงโครงสร้างภายในของเซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีส


                         
   รูปที่13 แสดงถึงโครงสร้างของเซลปรอทแบบกระดุม ส่วนเซลซิวเวอร์แบบกระดุม และเซลแบบสังกะสี อากาศ ก็มีโครงสร้างเหมือนกัน

        เมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างของเซลแบบสังกะสี – ถ่านแล้ว  เซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีสในรูปที่  12  นั้นจะกลับกันกับเซลแบบสังกะสี – ถ่าน  กล่าวคือส่วนที่เป็นอาโนดจะอยู่ภายใน  ส่วนที่เป็นคาดถดจะอยู่ภายนอก  ตัวถังที่ใช้บรรจุนั้นทำจากเหล็ก  จะไม่เหมือนกับตัวถังสังกะสีของเซลแบบสังกะสี – ถ่าน  เนื่องจากไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคมีในการผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาจึงไม่ มีการผุพังเมื่อมีการใช้งาน  มันมีหน้าที่ในการเป็นตัวเพิ่มความแข็งแรง  และป้องกันการรั่วไหลของส่วนผสมภายในเซลแท่งโลหะตรงกลาง  ที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะสมกระแสซึ่งมีรูปเหมือนตะปูนั้น  จะต่อโดยตรงกับอาโนด
 แรง เคลื่อนไฟฟ้าภายในเซลนั้น  เนื่องจากใช้โลหะและออกไซด์ชนิดเดียวกัน  ในการทำเป็นอาโนดและคาโถดเช่นเดียวกันกับเซลแบบสังกะสี – ถ่าน  จึงมีค่าโดยปกติ  1.5  โวลท์

เซลแบบกระดุม  (Button  Cell)
        ในบรรดาเซลที่มีขนาดเล็กที่สุดและเบาที่สุดเมื่อเทียบกับค่าความจุของเซล นั้น  คงจะไม่มีชนิดใดจะเกินเซลแบบกระดุมไปได้  ซึ่งเซลชนิดนี้ใช้สำหรับจ่ายกำลังงานในนาฬิกาข้อมือดิจิตอล  ในอุปกรณ์ช่วยฟังสำหรับคนหูตึง  เครื่องคิดเลขและอุปกรณ์การถ่ายรูป  มีรูปแบบและชนิดต่างๆ  มากมายโดยจะพิจารณาชนิดหลักๆ  กัน
 เซลแบบปรอทดัง แสดงในรูปที่  13  จะมีส่วนผสมของโปตัสเซียมไฮดรอกไซด์ที่มีน้ำเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย  ทำหน้าที่เป็นอิเลคทรอไลท์  ผิวหน้าด้านบนภายในเซลเป็นทองแดง  ซึ่งจะเหมาะที่จะทำปฏิกิริยาไฟฟ้า – เคมี  กับสังกะสี  ซึ่งจะลดการสึกกร่อนสิ้นเปลืองให้น้อยที่สุด  ตัวเซลภายนอกทำมาจากเหล็กชุบนิเกิ้ล  ซึ่งจะต้านทานต่อการกัดกร่อนของอิเลคทรอไลท์ได้อย่างดี
        คาโถดนั้นทำมาจากออกไซด์ของปรอท  ซึ่งมีความจุของออกซิเจนสูง  ถึงแม้ว่าจะมีราคาแพงก็ตาม  แต่ก็ให้ผลคุ้มค่า  เนื่องจากมีอัตราส่วนระหว่างพลังงานต่อน้ำหนักและปริมาตรมีค่าสูง  แรงดันเซลโดยปกติจะเท่ากับ  1.35  โวลท์  ส่วนค่าความต้านทานภายในจะมีค่าแน่นอนและมีค่าต่ำ

เซลแบบซิลเวอร์ออกไซด์  (Silver  Oxide  Cell)
        สารที่ใช้ทำคาโถดของเซลแบบกระดุมอีกชนิดหนึ่ง  คือ  ออกไซด์ของเงิน  ซึ่งโครงสร้างของเซลชนิดนี้จะเหมือนกับแบบปรอท  แต่เซลชนิดนี้สามารถจ่ายแรงดันออกมาได้สูงกว่าเป็น  1.55  โวลท์  นอกจากนี้ความต้านทานภายในเซลก็ยังมีค่าต่ำ  เซลชนิดนี้จึงเหมาะกับการใช้งานที่กระแสสูงๆ  เช่น  อุปกรณ์ที่มีตัวแสดงเป็น  LED  เป็นต้น
        ผลรวมของอัตราส่วนระหว่างพลังงานต่อน้ำหนักและปริมาตร  ซึ่งมีค่าสูง  การผนึกอย่างดีเยี่ยม  และอายุการเก็บรักษาได้นาน  (ซึ่งคล้ายกับแบบปรอท)  ทำให้เซลแบบซิลเวอร์ออกไซด์เป็นทางเลือกที่ดีเมื่อต้องคิดถึงเรื่องเนื้อที่ สำหรับติดตั้งเซลเป็นอันดับแรก  อย่างไรก็ตามออกไซด์ของเงินก็เป็นสารที่มีราคาแพงมาก

เซลแบบสังกะสี – อากาศ  (Zinc  Air  Cell)        เซลแบบสังกะสี – อากาศมีโครงสร้างและรูปร่างคล้ายกับเซลแบบซิลเวอร์ออกไซด์  และแบบปรอท  ต่างกันก็เพียงแต่มีรูให้อากาศเข้าที่ด้านล่าง
 ออกซิเจนจากอากาศรอบๆ  เซลจะใช้ในการออกซิไดช์  ผงสังกะสีผสมกับอัลคาไลน์อิเลคทรอไลท์  ซึ่งเป็นอาโนด  โดยผ่านเยื่อสังเคราะห์  จากความจริงที่ว่าอนุภาคของออกซิเจนจะถูกนำมาจากอากาศไม่ได้มาจากคาโถด  จะทำให้เหลือเนื้อที่ภายในเซลมากขึ้นในการบรรจุอาโนด  ดังนั้นเซลชนิดนี้จึงมีค่าความจุไฟฟ้าสูงกว่าเซลแบบปรอท  และซิลเวอร์ออกไซด์ถึง  2  เท่าตัว
 เซลแบบสังกะสี – อากาศจะมีอายุในการเก็บรักษานานเป็นพิเศษ  ถ้ามันถูกผนึกก่อนจะถูกขนส่งไป  ซึ่งตัวผนึกจะป้องกันอากาศเข้าทำปฏิกิริยากับภายในเซล  เมื่อแกะตัวผนึกออกก็พร้อมที่จะใช้งานได้ทันที
        ขนาดและจำนวนของรูอากาศ  สามารถกำหนดปริมาณอากาศที่นำไปใช้ได้  ดังนั้นเซลชนิดนี้จึงสามารถที่จะผลิตขึ้นสำหรับงานเฉพาะอย่างได้  ยกตัวอย่างเช่น  ในการใช้งานซึ่งต้องการกระแสใช้งานสูง  จะเจาะรูใหญ่และจำนวนมาก  ส่วนการใช้งานที่กระแสต่ำเป็นระยะเวลานานๆ  จะเจาะรูอากาศขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก  ค่าแรงดันปกติของเซลชนิดนี้เท่ากับ  1.45  โวลท์

เซลแบบลิเธี่ยม  (Lithium  Cell) โครง สร้างของเซลแบบลิเธี่ยม – แมงกานีสไดออกไซด์  แสดงในรูปที่  14  ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเซลแบบกระดุมอื่นๆ  เพีงแต่อาโนดเป็นลิเธี่ยมและคาโถดเป็นแมงกานีสไดออกไซด์
                        
                                                  รูปที่  14  แสดงถึงโครงสร้างของเซลลิเธี่ยมแบบกระดุม

ลิเธี่ยมเป็นสารที่มีปฏิกิริยาเร็วมาก  ซึ่งนี่เป็นสารที่น่าดึงดูดในมากในการนำมาใช้เป็นอาโนดของเซล  แต่ก็เป็นสารที่ต้องระมัดระวังไว้ด้วย  โดยการจับถือและการประดิษฐ์ให้เป็นรูปร่างต่างๆ  ต้องทำหน้าที่ปราศจากและสภาพแวดล้อมที่ไม่มีความชื้น
เนื่องจากปฏิกิริยา ที่เร็วมากนี่เอง  จึงทำให้เซลชนิดนี้มีค่าแรงดันสูงกว่าเซลทั่วๆ  ไป  คือสูงถึง  3.6  โวลท์  ซึ่งเหมาะสำหรับใช้กับงานหนักที่ต้องการแรงดันสูงกว่าปกติ
เราสามารถใช้ อิเลคทรอไลท์ได้หลายๆ  แบบในเซลแบบลิเธี่ยม  ทำให้สามารถผลิตเซล  ซึ่งมีคุณสมบัติต่างๆ  กันมีระบบหนึ่งใช้อิเลคทรอไลท์แบบของแข็ง  ซึ่งมีเสถียรภาพดีมาก  แต่ก็มีค่าความต้านทานภายในเซลสูง  ทำให้สามารถจ่ายกระแสได้ต่ำจึงสามารถจ่ายแรงดันได้เพียง  1.9  โวลท์
อิ เลคทรอไลท์อีกตัวที่ใช้ในเซลแบบลิเธี่ยมนี้ก็คือ  ซัลเฟอร์ไดออกไซด์  ซึ่งอยู่ในรูปของของเหลว  ซึ่งจะทำให้เซลจ่ายแรงดันได้ถึง  3  โวลท์  อิเลคทรอไลท์อีกตัวซึ่งใช้กันคือ  ไธโอนิลคลอไรด์ ซึ่งอยู่ในรูปของเหลว  จะทำให้เซลจ่ายแรงดันออกมาได้  3.6  โวลท์  ค่าแรงดันที่สูงขึ้นนี้เป็นไปได้เนื่องจากอิเลคทรอไลท์จะเป็นตัวทำอิเล คทรอไลท์ผสมกับคาโถด  ทำให้กำเนิดความต่างศักย์ออกมาได้สูงกว่า
เซลแบบลิเธี่ยมทุกชนิด  ซึ่งใช้อิเลคทรอไลท์แบบของเหลว  จะทำให้ได้ความต้านทานภายในเซลต่ำลง  ทำให้สามารถจ่ายกระแสได้เพิ่มขึ้น

เขาเลือกใช้กันอย่างไร
 เราได้พบเซลแบบต่างๆ  มากเพียงพอที่จะตัดสินถึงคุณสมบัติต่างๆ  ของเซลแต่ละแบบ  ต่อไปจะทำการเปรียบเทียบกันในรูปของน้ำหนัก  ขนาด  และคุณสมบัติในการใช้งานระหว่างเซลชนิดหลักๆ  2  ชนิด  คือ  เซลแบบสังกะสี – ถ่าน  และเซลแบบอัลคาไลน์ – แมงกานีส  รูปที่  15  แสดงถึงกราฟแท่งเปรียบเทียบระหว่างเซลชนิดต่างๆ  7  ชนิดที่เราได้กล่าวมาแล้ว  โดยพิจารณาถึงเรื่องน้ำหนักจะเห็นได้ชัดถึงเซลแบบสังกะสี – อากาศและแบบลิเธี่ยมจะมีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ

 
                      
                 รูปที่  15  เป็นกราฟแสดงการเปรียบเทียบความจุของเซลแบบต่างๆ  เมื่อพิจารณาถึงน้ำหนักด้วย

   
                       
              รูปที่  16  เป็นกราฟแสดงการเปรียบเทียบความจุของเซลแต่ละชนิด  เมื่อพิจารณาถึงปริมาตรของเซล


                        
รูป ที่  17  เป็นกราฟที่น่าสนใจ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาของเซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีส  แบบสังกะสี – ถ่าน  และแบบสังกะสี - ถ่านที่ใช้กับงานหนักโดยเทียบกับอัตราการใช้กระแส


        ในรูปที่  16  นั้นเป็นกราฟแท่งแสดงถึงเซลชนิดต่างๆ  โดยพิจารณาเกี่ยวกับปริมาตร  จะเห็นว่าเซลแบบซิลเวอร์ออกไซด์จะให้คุณสมบัติที่ดีที่สุดในเรื่องของขนาด
 แต่ ข้อเปรียบเทียบที่สำคัญที่สุดที่เราต้องการ  และเป็นข้อแตกต่างที่เรายอมรับอย่างแน่นอน  จะอยู่ในรูปของประสิทธิภาพ โดยพิจารณาถึงราคาต่อหน่วยเวลาที่ใช้  ความยุ่งยากจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาขายปลีกของเซลแต่ละชนิด  จะมีขอบเขตที่กว้าง  แต่กระนั้นก็ตามข้อเสนแนะที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็จะเป็นแนวทางที่มีเหตุมีผล
 ถ้า จะพูดโดยทั่วไปแล้ว  เซลแบบกระดุมชนิดต่างๆ  นั้นจะนำไปใช้ในงานเฉพาะอย่างยิ่ง  ซึ่งไม่สามารถใช้เซลชนิดอื่นแทนได้  เมื่อคำนึงถึงเรื่องประสิทธิภาพแล้วจะแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ๆ  ได้  3  ชนิด  คือ  แบบสังกะสี  - ถ่าน  แบบสังกะสี – ถ่านที่ใช้งานหนัก  (heavy  duty  zinc  carbon)  และแบบอัลคาไลน์แมงกานีส  ซึ่งทั้ง  3  ชนิดนี้ได้ถูกผลิตขึ้นมาโดยมีขนาดเท่ากัน  และสามารถใช้ทดแทนกันได้  คำถามก็จะมีต่อไปว่าควรจะใช้แบบใดดี  ระหว่างแบบสังกะสี – ถ่าน  หรือแบบสังกะสี – ถ่านที่ใช้งานหนัก  หรือแบบอัลคาไลน์แมงกานีสในงานเฉพาะอย่างหนึ่งๆ  ในรูปที่  17  จะอธิบายถึงกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาของเซลทั้งสามชนิดเปรียบ เทียบกับกระแสที่จ่ายได้  และแสดงให้เห็นถึงที่อัตรากาใช้กระแสสูงๆ  (ประมาณ  100  มิลลิแอมป์หรือกว่านั้น)  เซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีสจะมีราคาคุ้มค่ามากที่สุด
 อย่างไรก็ตามที่จุด ต่ำกว่า  100  มิลลิแอมป์นี้  เซลแบบสังกะสี - ถ่านที่ใช้งานหนักนั้นจะเหมาะสำหรับใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟประเภทเคลื่อนที่ได้
 สำหรับ ที่ระดับกระแสต่ำๆ  น้อยกว่า  20  มิลลิแอมป์หรือกว่านั้น  เซลแบบสังกะสี - ถ่านธรรมดาจะเหมาะสมกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับแบบอัลคาไลน์แมงกานีส
จะ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแบบอัลคาไลน์แมงกานีส  จะมีข้อดีกว่าในเรื่องของความจุ  กำลังงานและคุณภาพกล่าวคือ  ในเซลแบบสังกะสี – ถ่านนั้น  ตัวถังที่เป็นสังกะสี  จะเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิกิริยาไฟฟ้า – เคมีด้วย  ทำให้ตัวถังเกิดการรั่วขึ้นมา  ในสภาวะการณ์ทั่วไปแล้วเซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีสจะทนทานกว่าเซลแบบสังกะสี – ถ่าน  โดยเซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีสจะช่วยจ่ายกระแสได้เป็นระยะเวลานานกว่า  แต่ในย่านที่ใช้กระแสต่ำหรือปานกลางเป็นพักๆ  นั้น  การใช้เซลชนิดนี้ก็จะไม่เป็นการประหยัดเลย


รูป ที่  18  เป็นกราฟแสดงถึงอัตราการใช้กระแสของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นตัวจ่ายกำลังงาน ให้  โดยปกติแล้วถ้าเกิดความร้อนขึ้นมาก  (เช่นในไฟแฟลช)  และมีส่วนทีเคลื่อนไหวมาก  (เช่น  กลไกการขับเคลื่อนกล้องถ่าย  ภาพยนตร์  หรือเครื่องเล่นเทป  จะต้องใช้กำลังงานเพิ่มมากตามไปด้วย)



รูป ที่  19  แสดงถึงเซลแบบสังกะสี – อากาศแบตเตอรี่ทั่วไปจะเสื่อมสภาพถ้าเก็บไว้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้ ใช้แต่เซลแบบสังกะสี – อากาศจะถูกปิดผนึกไว้จนกว่าจะนำมาใช้  ซึ่งจะทำให้เก็บไว้ได้เป็นระยะเวลานานมาก  จนแกะตัวผนึกออก โดยการดึงแถบที่ปิดอยู่  ดังรูปออกก็สามารถนำไปใช้งานได้


        ในรูปที่  18  แสดงให้เห็นตารางการใช้กระแสไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ  ที่ใช้กำลังจากเซลไฟฟ้า  ในย่านกระแสใช้งานต่ำสุดและสูงสุด  คุณจะได้ใช้เป็นเครื่องตัดสินใจว่า  คุณควรจะเลือกใช้เซลไฟฟ้าชนิดใดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทใด  จึงจะเหมาะสมและประหยัดที่สุด
 เท่าที่กล่าวมาแล้วคงจะทำให้รู้จักเซล ไฟฟ้าชนิดต่างๆ  ขึ้นมาบ้าง  ทราบถึงคุณลักษณะต่างๆ  ของเซลไฟฟ้าแต่ละชนิด  ซึ่งเซลไฟฟ้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มีการขายในเมืองไทยแทบทุกชนิดแล้ว  ครั้งต่อไปที่คุณไปซื้อเซลไฟฟ้าก็เลือกได้เหมาะกับงานนะครับ




0 comments:

Post a Comment

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Powerade Coupons