Tuesday, July 12, 2011

โครงสร้างแบตตอรี่ กรด-ตะกั่ว


โครงสร้างแบตเตอรี่รถยนต์และแบตเตอรี่แบบต่างๆ  “คุณจะได้รู้จักกับแบตเตอรี่ที่สามารถประจุไฟ เข้าไปใหม่ได้แบบต่างๆ  ตลอดจนการนำไปใช้งาน  ถึงแม้จะมีราคาแพง  แต่ก็คุ้มค่าแก่การลงทุน”
        ในตอนที่แล้ว  ได้กล่าวถึงเซลแบบสังกะสี – ถ่าน  แบบอัลคาไลน์  แมงกานีส  แบบปรอท  แบบซิลเวอร์  แบบสังกะสี – อากาศและแบบลิเธี่ยม  ซึ่งเซลต่างๆ  ที่กล่าวมานี้ถูกจัดอยู่ในเซลแบบปฐมภูมิ  เมื่อพลังงานเคมีในตัวเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าหมดแล้ว  ก็หมดสภาพในการเป็นแหลงจ่ายไฟอีกต่อไป  แต่ยังมีเซลอีกแบบหนึ่ง  เรียกว่าเซลแบบทุติยภูมิ  (secondary  cell)  สามารถที่จะประจุไฟกลับใหม่ได้  โดยที่ปฏิกิริยาเคมี  ซึ่งจ่ายเป็นพลังงานไฟฟ้าออกมานั้น  เป็นปฏิกิริยาที่ผันกลับได้  การใช้เซลแบบทุติยภูมินี้  ทำให้เหมาะที่จะใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟมาก  เนื่องจากถ้าเซลถูกใช้ไฟไปจนหมดแล้ว  สามารถจะประจุกลับไปใหม่  เพื่อจะได้ใช้ต่อไปได้ 
       
        เซลแบบทุติยภูมินี้จะมีราคาแพงกว่าเซลแบบปฐมภูมิ  ในการลงทุนซื้อมาตอนแรก  เนื่องจากจำเป็นที่จะต้องซื้อเครื่องประจุไฟมาด้วย  แต่เมื่อคิดในระยะยาวแล้วเซลแบบทุติยภูมินี้  จะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า  ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเลือกใช้เซลชนิดใด  ในบทความต่อไปนี้จะเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายของการใช้เซลแบบ ทุติยภูมิ  ที่กำลังนิยมใช้กันอยู่นี้  กับเซลแบบปฐมภูมิ

เซลแบบตะกั่ว – กรด  (Lead  Acid)        เซล แบบทุติยภูมิชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันมากก็คือ  เซลแบบตะกั่วกรด  ซึ่งใช้กันทั่วไปในรถยนต์  ตัวอย่างเซลชนิดนี้แสดงในรูปที่  1  ซึ่งเราจะเห็นมันประกอบด้วยแผ่นคาโถด  และแผ่นอาโนดวางสลับกันจุ่มอยู่ในอิเลคทรอไลท์ที่ทำจากสารละลายกรดกำมะถัน  แผ่นเพลทจะวางสลับกัน  เพื่อจะได้มีพื้นที่ผิวสัมผัสกับอิเลคทรอไลท์ได้มาก  ในขณะที่รักษาปริมาตรให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้  สารที่มีพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างแผ่นอิเลคโทรด  และอิเลคทรอไลท์มากเท่าไร  ปฏิกิริยาเคมีก็จะเกิดขึ้นมากเท่านั้น  นอกจากนี้ค่าความต้านทานภายในเซลจะยิ่งมีค่าน้อยลงด้วย  ดังนั้นในการค้นคว้าจึงมุ่งทางด้านเพิ่มที่ผิวสัมผัส  วิธีที่นิยมใช้กันก็คือใช้แผ่นเพลทบางๆ  คั่นด้วยฉนวนแบบมีรูพรุน
       
        อิเลคโทรดเป็นอาโนดจะสร้างขึ้นมาจากตะกั่วบริสุทธิ์  ในขณะที่คาโถดจะสร้างจากส่วนผสมของตะกั่วและตะกั่วเปอร์ออกไซด์  ในขณะที่เซลคายประจุให้กระแสไฟฟ้าออกมานั้น  อะตอมของตะกั่วจากแผ่นอาโนดจะแตกตัวเป็นไอออนที่มีประจุบวกเข้าไปอยู่ในอิเล คทรอไลท์และทิ้งอิเลคตรอนให้ไหลเข้าสู่วงจรที่นำมาต่อภายนอก  ดังแสดงในรูปที่  2


รูปที่ 1 ภาพแสดงโครงสร้างของเซลแบบตะกั่ว–กรด  แผ่นอาโนดและคาโถดจะวางสลับกัน เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวระหว่างกัน


รูปที่  2    ไอออนบวกของตะกั่วจะออกมา  อาโนดเข้าไปในอิเลคทรอไลท์  อิเลคตรอนจะมีอิสระ ที่จะเข้าไปวงจรที่นำมาต่อภายนอก  ซึ่งจะทำให้เกิดกระแสไหลจากคาโถดไปยังอาโน

        ที่คาโถด  ตะกั่วเปอร์ออกไซด์จะแตกตัวเป็นไอออนของตะกั่ว  ซึ่งมีประจุบวกสูง  และเป็นไอออนที่มีประจุลบสูง  ไอออนของตะกั่วที่มีประจุบวกสูงจะดึงเอาอิเลคตรอนจากวงจรที่ต่ออยู่ภายนอก  เพื่อรวมตัวกลายเป็นอิออนตะกั่วที่มีประจุบวก  ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับอาโนดทำให้เกิดกระแสไหลจากคาโถดผ่านไปยังวงจรภายนอก
 ไอออน ของตะกั่วจากแผ่นอิเลคโทรดทั้งสองจะทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถัน  ซึ่งเป็นอิเลคทรอไลท์  กลายเป็นตะกั่วซัลเฟต  (lead  sulphate)  (ซึ่งจะเห็นเป็นตะกอนสีขาวเกาะอยู่ที่อิเลคโทรดทั้งสอง)  และก๊าซไฮโดรเจน  (ซึ่งจะรวมกับอิออนของออกซิเจนจากคาโถดกลายเป็นน้ำ)  เราสามารถจะเขียนสูตรสำหรับปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นได้ดังนี้

  PbO2 + Pb + 2H2SO4 = 2PbSO4 + 2H2O
        ซึ่งแสดง  (โดยลูกศร  2  ทิศทาง)  ว่าเป็นปฏิกิริยาที่ผันกลับได้  ดังนั้นจึงสามารถที่จะประจุเซลใหม่โดยการต่อวงจร  ซึ่งจะขับอิเลคตรอนให้ไหลจากคาโถดไปสู่อาโนด  ดังจะเห็นวงจรต่อไป
สูตร ทางเคมีแสดงให้เห็นว่าสารละลายอิเลคทรอไลท์  จะเจือจางลงโดยโมเลกุลของน้ำที่เกิดขึ้น  ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่เซลคายประจุ  ทำให้เราสามารถใช้เป็นวิธีการหาสถานะการประจุและคายประจุของเซลได้  โดยการวัดความถ่วงจำเพาะ  (specific  gravity)  ของสารละลายอิเลคทรอไลท์  ซึ่งจะบอกว่าเซลใกล้จะถึงสถานะคายประจุหมดหรือยัง  เพื่อจะได้ประจุไฟฟ้ากลับเข้าไปใหม่  โดยค่าความถ่วงจำเพาะของเซลที่ประจุมาเต็มที่จะมีค่าประมาณ  1.25  และค่าความถ่วงจำเพาะของเซลที่คายประจุหมดจะมีค่าระบุไว้ประมาณ  1.2  เราใช้ไฮโดรมิเตอร์ในการวัด  แรงดันของเซลโดยปกติจะมีค่าเท่ากับ  2  โวลท์ 
เซลแบบตะกั่ว – กรดนี้มีโครงสร้างแบบที่กล่าวมาเป็นระยะเวลานานแล้ว  การปรับปรุงให้เซลมีอายุการใช้งานนานขึ้น  โดยที่แบตเตอรี่ที่มีการผนึกอย่างดี  และมีอิเลคทรอไลท์เป็นของแข็งได้ถูกผลิตขึ้นมาแล้ว  ซึ่งไม่ต้องมีการบำรุงรักษาเลย  จึงสามารถนำไปใช้ที่ใดก็ได้  นับว่ามีประโยชน์ในการใช้แทนหรือใช้อย่างปกติแทนเซลแบบปฐมภูมิในเครื่องมือ วัดแบบกระเป๋าหิ้ว  เนื่องจากมันสามารถประจุไฟใหม่ได้  โครงสร้างของเซลแบบนี้ในแบเตอรี่ขนาด  6  โวลท์  แสดงไว้ในรูปที่  3

 
รูปที่  3    โครงสร้างของแบตเตอรี่แบบตะกั่ว  - กรดที่มีการปิดผนึก  ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถจะใช้ที่ใดก็ได้โดยจะไม่ปล่อยอิเลคทรอไลท์ออกมา  ใช้ประโยชน์ในเครื่องมือแบบกระเป๋าหิ้ว


ประจุกลับเข้าไปใหม่        การประจุเซลแบบตะกั่ว – กรดนั้น  สามารถทำได้อย่างง่ายๆ  โดยการป้อนกระแสกลับทางเข้าไปในแบตเตอรี่  เพื่อบังคับให้ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น  เกิดจากทางขวามือไปทางซ้ายมือ  ซึ่งจะเปลี่ยนตะกั่วซัลเฟตให้กลับเป็นตะกั่วและกรดกำมะถันตามเดิม  วิธีการที่ง่ายที่สุดในการป้อนกระแสกลับทางก็โดยการต่อขั้วคาโถด  (ขั้วบวก)  และขั้วอาโนด  (ขั้วลบ)  เข้ากับขั้วบวกและขั้วลบของแหล่งจ่ายไฟฟ้าภายนอก  แรงดันของแหล่งจ่ายไฟภายนอกนี้จะอยู่ในช่วง  1.1  ถึง  1.25  เท่าของแรงดันของเซลโดยปกติ  ดังนั้นเซลแบบนี้เซลเดียว  ซึ่งมีแรงดันปกติ  2  โวลท์  สามารถที่จะประจุเข้าไปด้วยแรงดันระหว่าง  2.2  โวลท์ถึง  2.5  โวลท์  ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ  ก็คือแบตเตอรี่รถยนต์  (ซึ่งแรงดันปกติเท่ากับ  12  โวลท์เนื่องจากประกอบด้วยเซล  6  เซลอนุกรมกัน)  จะถูกประจุโดยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือไดนาโมและผ่านชุดรักษาระดับแรงดันให้ เป็นไฟตรงมีค่าแรงดันคงที่ที่  14  โวลท์
       
        เป็นที่เห็นได้ชัดว่า  กระแสที่ป้อนเข้าไปเมื่อประจุไฟใหม่นั้นขึ้นอยู่กับแรงดันที่ป้อนเข้าไป  นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับสถานนะของเซลว่าคายประจุหมดเต็มที่หรือไม่  ถ้าแรงดันที่ป้อนเข้าประจุไฟมีค่าสูงและเซลคายประจุหมดเต็มที่แล้ว  จะทำให้กระแสที่ไหลเข้าประจุเซลจะมีค่ามากตามไปด้วย  หรือถ้าเซลถูกใช้แบบเป็นวงรอบ  (cyclic)  คือจากสถานะประจุเต็มไปสู่สถานะหมดประจุเต็มที่แล้วจึงค่อยประจุใหม่อีก ครั้ง  จะใช้กระแสในการประจุมากตามไปด้วย  แต่ถ้าเซลถูกใช้งานพร้อมกับประจุไฟเข้าตลอดเวลา  เช่นในแบตเตอรี่รถยนต์แล้ว  กระแสที่ใช้ในการประจุก็จะมีค่าต่ำ  ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแบตเตอรี่รถยนต์ขนาด  12  โวลท์  จึงใช้แรงดันในการประจุเพียง  14  โวลท์  ซึ่งประมาณ  1.17  เท่าของแรงดันปกติของแบตเตอรี่
       
        วงจรที่ใช้ในการประจุแบตเตอรี่แบบตะกั่ว – กรดนี้  แสดงในรูปที่  4  ก.  ซึ่งแสดงให้เห็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าที่มีแรงดันคงที่อยู่กับแบตเตอรี่  วงจรสมมูลย์ของรูปที่  4  ก.  แสดงให้เห็นในรูปที่  4  ข.  ซึ่งเราจะเห็นว่าแบตเตอรี่จะถูกพิจารณาว่าประกอบด้วยตัวต้านทาน  2  ตัว  โดยตัวต้านทาน  R1  จะเป็นค่าความต้านทานภายในของแบตเตอรี่เอง  จะมีอยู่ในแบตเตอรี่เสมอไม่ว่าแบตเตอรี่นั้นกำลังประจุหรือคายประจุอยู่  ส่วนตัวต้านทาน   R2  นั้นจะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์หมดประจุของแบตเตอรี่  เมื่อแบตเตอรี่คายประจุหมดเต็มที่  ค่าความต้านทานตัวนี้จะมีค่าสูง  อย่างไรก็ตามเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด  หรือประจุจนเต็มที่แล้ว  ค่าความต้านทาน  R2  นี้จะมีค่าสูงขึ้น  ทำให้กระแสที่ใช้ในการประจุมีค่าลดลง 

        เราสามารถที่จะตรวจสอบสถานการณ์ประจุของแบตเตอรี่ได้  โดยการสังเกตค่าของกระแสที่ใช้ในการประจุ  ซึ่งจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อแรงดันที่ใช้ในการประจุมีค่าคงที่  (โดยการใช้แหล่งจ่ายไฟที่มีการรักษาระดับแรงดันออกให้คงที่)  แบตเตอรี่รถยนต์โดยทั่วไป  ตัวอัดประจุให้แก่แบตเตอรี่จะจ่ายแรงดันออกมาไม่คงที่  ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้วิธีการดูกระแสในการบอกสถานการณ์ประจุของแบตเตอรี่ ได้อย่างถูกต้อง
 เราสามารถที่จะใช้วิธีประจุอย่างรวดเร็วแก่แบตเตอรี่ ชนิดนี้ได้  โดยใช้แรงดันคงที่ขนาด  1.25  เท่าของแรงดันปกติของแบตเตอรี่  โดยคอยสังเกตระดับกระแสที่ประจุไว้  และการประจุจะสิ้นสุดเมื่อระดับกระแสที่ประจุตกลงมาถึงค่ากระแสสุดท้ายในการ ประจุ  ซึ่งจะบ่งบอกโดยผู้ผลิตแบตเตอรี่ชนิดนั้น  ภายใต้เงื่อนไขนี้การประจุจะเต็ม  (จากตอนที่แบตเตอรี่หมดประจุเต็มที่จนถึงประจุโดยสมบูรณ์)  ภายในเวลา  5  ชั่วโมง  ถ้าเราไม่สามารถรักษาระดับแรงดันในการประจุได้คงที่อยู่ได้  ก็ไม่สมควรที่จะใช้วิธีประจุอย่างรวดเร็ว  ทั้งนี้เนื่องจากจะทำความเสียหายแก่เซลจนไม่สามารถแก้ไขได้  ในกรณีนี้จึงควรใช้แรงดันในการประจุน้อยลงเป็นประมาณ  1.1  ถึง  1.2  เท่าของแรงดันปกติของแบตเตอรี่จึงจะดีที่สุด  โดยใช้เวลาในการประจุเกินกว่า  20  ชั่วโมงขึ้นไป

 
รูปที่  4  ก.    แสดงการประจุแบตเตอรี่แบบ  ตะกั่ว – กรด  โดยใช้แหล่งจ่ายไฟที่มีแรงดันคงที่ขนาด  1.1  ถึง 1.25  เท่าของแรงดันปกติของแบตเตอรี่   ข.  เป็นวงจรสมมูลย์ของวงจรประจุแบตเตอรี่ในรูปที่  4  ก.


เซลแบบนิกเกิล – แคดเมียม  (Nickel  Cadmium)
        เซลแบบทุติยภูมิชนิดที่สองที่จะกล่าวถึงก็คือ  เซลแบบนิกเกิล – แคดเมียม  เรียกกันย่อๆ  ว่า  นิ – แคด  บางครั้งเซลแบบนิ – แคด  นี้จะถูกเรียกว่า  เซลแบบ  DEAC  ซึ่งเป็นชื่อย่อของบริษัทแรกที่ผลิตขึ้นมา  คือ  Dertsche  Edison  Akkulumulatoren  Company  ซึ่งอยู่ในเยอรมัน

        ขั้วบวกของเซลแบบนิแคดนี้ทำจากนิกเกิลไฮเดรท  (nickel  hydrate)  ส่วนขั้วลบนั้นทำจากแคดเมี่ยมไฮดรอกไซด์  (cadmium  hydroxide)  อิเลคทรอไลท์ทำจากสารละลายโปตัสเซียมไฮดรอกไซด์  (potassium  hydroxide)  ซึ่งก็เหมือนกับเซลแบบตะกั่วกรดคือ  ปฏิกิริยาเคมีในการประจุและคายประจุ  เป็นดังนี้

  Cd + 2NiOOH + 2H2O = Cd(OH)2 + 2Ni(OH)2
        โดยสถานะประจุเต็มที่  คือทางด้านซ้ายมือ  และสถานะหมดประจุเต็มที่อยู่ทางด้านขวามือ  ในเซลที่ได้รับการประจุจนเต็ม  ขั้วลบจะเป็นแคดเมี่ยมบริสุทธิ์  ซึ่งจะถูกออกซิไดซ์  (oxidised)  ในระหว่างการคายประจุ  ส่วนขั้วบวกจะค่อยๆ  ลดระดับในการเกิดออกซิเดชั่น  (oxidation)  ระหว่างการคายประจุ

รูปที่  5    ภาพแสดงโครงสร้างของเซลแบบนิแคดรูปกระดุม  ใช้ขั้วที่ผ่านการเผาเพื่อให้มีพื้นผิวสัมผัสมาก และให้ก๊าซออกซิเจนวิ่งไประหว่างขั้วบวก  และลบได้อย่างรวดเร็ว 

        ในระหว่างการประจุนอกจากปฏิกิริยาหลักที่เกิดขึ้นที่ขั้วบวกแล้วนั้น  จะมีปฏิกิริยาข้างเคียงเกิดขึ้นด้วย  ซึ่งจะก่อให้เกิดก๊าซออกซิเจน  แต่ก็ไม่เป็นปัญหา  เนื่องจากก๊าซออกซิเจนสามารถเคลื่อนที่จากขั้วบวกไปรวมตัวกับขั้วลบ
        ปฏิกิริยาข้างเคียงที่เกิดขึ้นที่ขั้วลบจะผลิตก๊าซไฮโดรเจนขึ้น  โดยจะเกิดขึ้นเมื่อขั้วลบอยู่ในสถานะประจุเต็มที่  โดยเราจะแน่ใจได้ว่าก๊าซไฮโดรเจนที่เกิดขึ้นจะไม่รั่วไหลออกไป  ถ้าทำให้ขนาดของขั้วลบใหญ่กว่าขั้วบวก
        เราจะเห็นได้ว่าเมื่อเซลถูกประจุจนเต็ม  กระแสที่ไหลผ่านเซลทั้งหมดจะใช้ในการผลิตก๊าซออกซิเจนที่ขั้วบวก  ซึ่งจะผ่านไปรวมตัวกันที่ขั้วลบ  ซึ่งโครงสร้างของเซลเป็นส่งที่จำเป็นมากที่จะต้องสร้างให้มีทางให้ก๊าซ ออกซิเจนมารวมตัวได้  ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้  โครงสร้างของเซลแบบนิแคดรูปกระดุมแสดงในรูปที่  5  ซึ่งเราจะเห็นว่าเราสร้างด้วยแผ่นเพลทที่ผ่านการเผา  เพื่อให้แผ่นเพลทมีรูพลุนมากๆ  เพื่อช่วยในก๊าซออกซิเจนวิ่งจากขั้วบวกไปสู่ขั้วลบได้สะดวกขึ้น  แผ่นเพลทที่ผ่านการเผานี้จะเป็นประโยชน์โดยช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสของแต่ละ ขั้ว  ถ้าเซลแบบกระดุมนี้ถูกประจุมากเกินไป  ด้วยกระแสซึ่งจะทำให้เกิดก๊าซออกซิเจนมากเกินไป  ตัวเซลนี้จะเกิดการระเบิดขึ้นได้  ดังนี้จึงต้องระมัดระวังในการประจุไฟเข้าเซล  ปัญหาที่เกิดอีกขึ้นก็คือ  เนื่องจากปฏิกิริยาการรวมตัวกันของก๊าซออกซิเจนและอิเลคโทรดขั้วลบเป็น ปฏิกิริยาคายความร้อน  ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของเซลสูงขึ้น  อาจทำความเสียหายแก่เซลได้

รูปที่  6    ภาพแสดงโครงสร้างของเซลแบบนิแคดรูปทรงกระบอก  รูระบายที่ปิดอยู่จะเปิดเมื่อความดันภายในเซลสูง เพื่อป้องกันเซลระเบิดจากการประจุมากเกินไป

ปัญหาที่เกิดขึ้น
        ปัญหาเกี่ยวกับการระเบิดของเซลแบบนี้สามารถบรรเทาลงได้  โดยการใช้เซลนิแคดแบบรูปทรงกระบอก  ซึ่งมีโครงสร้างดังแสดงในรูปที่  6  จะเห็นได้ว่าเราใช้แผ่นเพลทที่เผามาทำเป็นขั้วบวกและขั้วลบอีก  แต่เรานำมาม้วนให้เป็นรูปทรงกระบอก  และมีรูระบายติดตั้งอยู่ที่ฝาบนของเซลซึ่งจะปล่อยก๊าซออกซิเจนออกสู่ภายนอก เมื่อความดันขึ้นสูงกว่า  90  ปอนด์/ตารางนิ้ว  ดังนั้นถ้าเซลถูกประจุมากเกินไป  ด้วยกระแสที่สูงเกินก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นจุถูกระบายออกจากเซล  ทำให้เซลไม่เกิดการระเบิดขึ้นอย่างไรก็ตาม  ก๊าซออกซิเจนที่ระบายออกไปก็ไม่สามารถหากลับมาทดแทนได้
 เซลที่มีรูปร่าง เป็นทรงกระบอกนี้สามารถที่จะเก็บพลังงานได้มากกว่าเซลแบบกระดุม  เมื่อขนาดเท่าๆ  กัน  และสามารถจ่ายกระแสได้มากกว่าด้วย  (เนื่องจากมีความต้านทานภายในต่ำ)  กุญแจแห่งความสำเร็จของเซลแบบทรงกระบอกนี้  คือการใช้ตาข่ายนิกเกิลบริสุทธิ์ที่มีรูพรุนเล็กๆ  มาทำเป็นตะแกรงเพื่อให้นิกเกิลไฮดรอกไซด์และแคดเมี่ยมไฮดรอกไซด์  สามารถก่อตัวเป็นขั้วบวกและขั้วลบบนตะแกรงนั้นได้อย่างรวดเร็ว  แผ่นนิกเกิลจะถูกเชื่อมกับอิเลคโทรด  และต่อกับตัวถังด้านบนของตัวแบตเตอรี่
       
        ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของเซลที่มีโครงสร้างแบบทรงกระบอกก็คือ  สามารถทำเซลให้มีขนาดเท่ากับขนาดของเซลแบบปฐมภูมิที่มีใช้กันอยู่ได้  คือขนาด  AAA , AA , C , D  และขนาด  PP-3  และอื่นๆ  อีก  ซึ่งหมายความว่าเราสามารถนำเซลแบบนิแคดนี้มาใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟในเครื่องใช้ ต่างๆ  ภายในบ้าน  เช่น  วิทยุเทปคาสเซทท์  ไฟฉาย  เป็นต้น  แรงดันของเซลแบบนิแคดนี้โดยปกติมีค่าประมาณ  1.25  โวลท์  ซึ่งเมื่อเทียบกับเซลแบบปฐมภูมิชนิดเดียวกันแล้วซึ่งมีแรงดันประมาณ  1.5  โวลท์แล้วอาจจะทำให้คิดว่าเครื่องใช้ต่างๆ  จะไม่สามารถทำงานได้  ถ้าเปลี่ยนจากเซลแห้งธรรมดาไปเป็นเซลแบบนิแคดขนาดเดียวกัน  แต่ก็ไม่เป็นความจริง  เนื่องจาก

        1.แรงดันของเซลแห้งที่กล่าวมานั้นเป็นแรงดันตอนที่ไม่มีโหลดอยู่  ซึ่งแรงดันนี้จะตกลงเล็กน้อยเมื่อโหลดดึงกระแสไปใช้  ทั้งนี้เนื่องมากจากค่าความต้านทานภายในของเซล  ซึ่งเมื่อต่อเซลอนุกรมกันหลายๆ  เซลแล้ว แรงดันตอนใช้งานอาจจะเหลือเพียงเซลละ  1  โวลท์  (หรือน้อยกว่า)  แต่ค่าความต้านทานภายในที่ต่ำมากๆ  ของเซลแบบนิแคดนี้  จะทำให้แรงดันตอนใช้งานจะยังคงเท่ากับ  1.25  โวลท์  ในการใช้งานหลายอย่างดูเหมือนว่า  แรงดันปกติที่ต่ำกว่าของเซลนิแคดนี้นะให้คุณสมบัติที่ดีกว่าเซลแห้งธรรมดา


รูปที่  7    เป็นกราฟแสดงแรงดันของเซลกับเวลา  เปรียบเทียบกันระหว่างเซลแห้ง  (dry  cell) และเซลแบบนิแคด  ด้วยการจ่ายกระแสเท่ากัน



        2.แรงดันของเซลแห้งนี้จะแปรเปลี่ยนไปตามเวลา  ถ้าเราเขียนกราฟระหว่างแรงดันของเซลแห้งกับเวลา  และเปรียบเทียบกับกราฟของเซลแบบนิแคดในรูปที่  7  จะเห็นว่า  แรงดันของเซลแห้งจะสูงกว่าแรงดันของเซลแบบนิแคดในตอนแรก  แต่เมื่อเซลคายประจุออกไปแล้วจะเห็นว่าในที่สุดแรงดันของเซลแห้งนี้จะเริ่ม ต่ำกว่าแรงดันของเซลแบบนิแคด  ในขณะที่แรงดันของเซลแบบนิแคดจะค่อนข้างคงที่  และจุดหมดประจุ  คือ  เวลาที่คิดว่าเซลคายประจุหมดอย่างสมบูรณ์แล้ว  จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  เมื่อใช้เซลแบบนิแคดนี้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อถึงจุดที่เซลหมดประจุ  เครื่องใช้นั้นก็จะหยุดทำงานทันที

เมื่อคิดถึงเรื่องราคา
        ชิ้นส่วนในการทำเซลแบบนิแคดนี้  ได้เลือกสรรและควบคุมอย่างเคร่งครัดในการเลือกวัตถุมาใช้  ตลอจนใช้เทคนิคในการผลิตที่ประณีต  จึงทำให้เซลแบบนิแคดนี้มีราคาแพง  โดยจะแพงกว่าเซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีสขนาดเดียวกันประมาณ  2.5  เท่า  ในขณะที่ความจุพลังงานมีเพียง  1  ใน  4  ของเซลแบบอัลคาไลน์แมงกานีส  ถ้าเรามองเพียงผิวเผินแล้วอาจจะเห็นว่าไม่คุ้มค่า  แต่อย่าลืมว่าเซลแบบนิแคดนี้สามารถใช้ได้นานหลายครั้งกว่า  ไม่เหมือนกับเซลแบบปฐมภูมิ  เชลแบบอัลคาไลน์  แมงกานีส  เพื่อจะดูว่าเซลแบบนิแคดนี้มีราคาคุ้มค่ากว่าเซลแบบปฐมภูมิ  เราต้องมาศึกษาถึงวิธีการประจุไฟก่อน

        ก่อนที่จะประจุไฟให้กับเซลแบบนิแคด  โดยไม่ให้เกิดความเสียหายและสามารถประจุได้เต็มที่นั้น  เราจะต้องรู้ถึงค่าความจุของเซลก่อน  ความจุของเซลแบบนิแคดนี้  คือปริมาณของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด  ซึ่งเซลสามารถข่ายออกมาได้เมื่อมันได้รับการประจุไฟจนเต็มที่  จะแสดงออกมาในรูปของตัวเลขที่เป็นแอมป์ – ชั่วโมง  หรือมิลลิแอม – ชั่วโมง  เซลชนาดใดก็ตาม  ค่าตัวเลขจริงๆ  นี้  จะแปรเปลี่ยนไปโดยขึ้นอยู่กับกระแสที่จ่ายออกไป  ดังนั้นมักจะกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายกระแส  เมื่อระบุถึงค่าความจุ  ผู้ผลิตจะแจ้งถึงค่าความจุและเงื่อนไขในการจ่ายกระแสบนตัวเซล  รายละเอียดเกี่ยวกับความจุโดยปกติของเซลขนาดต่างๆ   ระบุไว้ในตารางที่  1
       
        ในเซลแบบทรงกระบอกนี้ค่าความจุโดยปกติ  รู้จักกันในนามของ  “ความจุ  5  ชั่วโมง”  เนื่องจากเป็นจำนวนของพลังงานไฟฟ้าที่เซลจะจ่ายออกมาได้เมื่อใช้เวลาในการ จ่าย  5  ชั่วโมง  อัตราการจ่ายกระแสใน  1  ชั่วโมง  จะคายประจุออกจากเซลในเวลา  1  ชั่วโมง  จะคายประจุออกจากเซลในเวลา  1  ชั่วโมง  โดยให้สัญลักษณ์ว่า  “C”  เช่นเดียวกับอัตราการจ่ายใน  5  ชั่วโมง  (C/5)  จะหมายถึงกระแสที่สามารถจ่ายออกจากเซลในเวลา  5  ชั่วโมงเป็นต้น  เซลจะถูกคิดว่าคายประจุหมดสิ้น  เมื่อแรงดันของมันตกลงเหลือ  1  โวลท์  รูปที่  8  แสดงถึงค่าความจุของเซลแบบนิแคดซึ่งจะแปรเปลี่ยนไปกับอัตราการจ่ายกระแสค่า ต่างกัน  3  ค่า  จากรูปนี้จะพบว่าค่าความจุของเซลจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยถ้าอัตราการจ่ายกระแสมี ค่าต่ำลดต่ำลง  และค่าความจุที่ลดลงจะเป็นผลมาจากอัตราการจ่ายกระแสสูงขึ้น

        ความจุของเซลแบบกระดุม  เช่นเดียวกันกับแบบทรงกระบอก  จะแสดงอยู่ในรูปของ  “ความจุ  10  ชั่วโมง”  และด้วยอัตราการจ่ายกระแสเป็นเวลา  10  ชั่วโมง  (C/10)  จะทำให้แรงดันของมันลดลงเหลือ  1.1  โวลท์  ที่จุดนี้มันจะถูกพิจารณาว่าหมดประจุอย่างสมบูรณ์

รูปที่  8    แสดงถึงค่าความจุของเซลนิแคดจะแปรเปลี่ยนไปตามอัตราการจ่ายกระแส

        เซลแบบนิแคดนี้จะไม่เหมือนกับเซลแบบตะกั่ว – กรด  (ถึงแม้จะเป็นเซลทุติยภูมิเหมือนกัน)  ตรงที่เซลแบบนิแคดนี้จะต้องไม่ประจุไฟให้มันด้วยแหล่งจ่ายไฟที่มีแรงดันคง ที่  เพราะว่าค่าความต้านทานภายในของมันมีค่าต่ำมาก  จะทำให้กระแสที่ใช้ในการประจุมีค่ามากเกินไป  ซึ่งจะทำความเสียหายให้แก่เซลได้  เราจะใช้แหล่งจ่ายไฟแบบกระแสคงที่แทน  ซึ่งจะจ่ายกระแสออกมาโดยกำหนดท่าได้และอยู่ในอัตราที่ปลอดภัย

รูปที่  9    วิธีการง่ายๆ  ในการสร้างวงจรประจุกระแสคงที่  เพื่อใช้ในการประจุเซลนิแคด


        วิธีง่ายที่สุดในการจ่ายกระแสคงที่แสดงในวงจรรูปที่  9  ซึ่งแหล่งจ่ายไฟที่มีแรงดันที่จะจ่ายกระแสออกมาประจุเซลแบบนิแคด  โดยผ่านตัวต้านทานจำกัดกระแส  ค่าของตัวต้านทานจะถูกเลือกให้ค่ากระแสที่ไปประจุเซลจะไม่เกินค่าปลอกภัย สำหรับเซลขนาดนั้น  โดยวงจรนี้เราจะต้องใช้อย่างระมัดระวัง  วิธีการประจุโดยใช้วงจรนี้สามารถประจุเซลได้  3  วิธีใหญ่ๆ  คือ

การประจุทีละน้อย  (Trickle  Recharge)
        ถ้ากระแสในวงจรถูกรักษาไว้ที่อัตราเท่ากับ  C/10  (10%  ของความจุ)  แล้ว  เซลที่หมดประจุอย่างสมบูรณ์สามารถจะประจุได้ภายใน  10  ชั่วโมง  แต่ความเป็นจริงจะใช้เวลามากกว่า  10  ชั่วโมง  การประจุทีละน้อยด้วยอัตราขนาดนี้สามารถประจุทิ้งไว้ค้างคืนได้  ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของการประจุเซลด้วยอัตราขนาดนี้คือ  ถึงแม้ว่าเซลจะถูกประจุเต็มแล้วก็ตาม  ก็ไม่จำเป็นต้องนำเซลออก  เนื่องจากถ้าเราประจุต่อไปก็จะไม่ทำความเสียหายให้แก่เซล  เนื่องจากก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ขั้วบวกจะรวมตัวกับขั้วลบ  การประจุเซลโดยไม่มีข้อจำกัด  ซึ่งจะไม่ทำให้ความเสียหายแก่เซล  ยกตัวอย่างเช่น  เซลมีขนาดความจุ  500  มิลลิแอมป์ – ชั่วโมง  ถ้าประจุด้วยอัตรา  C/10   ก็เท่ากับ  10%  ของความจุ  คือ  50  มิลลิ-แอมป์

รูปที่  10    แสดงถึงการที่แรงดันของเซลนิแคดแปรเปลี่ยนไปตามเวลาเมื่อทำการประจุ 
            (หลังจากหมดประจุอย่างสมบูรณ์แล้ว)  ด้วยอัตรากระแส  C/4 
    
การประจุอย่างเร็ว  (Fast  Recharge)
        เซลแบบนิแคดนี้สามารถจุประจุด้วยอัตราที่สูงขึ้นกว่าได้  เช่นด้วยอัตรา  C/3  (33%  ของความจุ)  ถึง  C/5  (20%  ของความจุ)  โดยจะต้องเตรียมการตัดการประจุ  เมื่อเซลได้รับการประจุจนเต็มที่แล้ว  ซึ่งสามารถทำได้อย่างอัตโนมัติ  โดยใช้วงจรตรวจจับแรงดัน  ซึ่งจะตัดกระแสที่ใช้ในการประจุออก  เมื่อแรงดันของเซลเพิ่มขึ้นเกินกว่าค่าปัจจุบัน  รูปที่  10  แสดงถึงการแปรเปลี่ยนของแรงดันของเซลกับอัตราการประจุเท่ากับ  C/4  (25%  ของความจุ)  จะเห็นได้ชัดว่าวิธีการนี้สามารถใช้ได้เฉพาะ  ถ้าสามารถวัดค่าแรงดันได้อย่างเที่ยงตรงและว่องไว  สามารถตัดกระแสที่ใช้ประจุออกก่อนที่จะเกิดความเสียหายขึ้น  ปัญหาในการใช้การประจุแบบนี้ก็คือ  ถ้ากระแสที่ใช้ในการประจุค่าสูงๆ  นี้ไม่ได้ถูกตัดออกอย่างทันที  เมื่อเซลได้รับการประจุจนเต็มที่แล้ว  ก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นมากเกินจากขั้วลบในปริมาณที่เพียงพอ  ความดันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  และเซลจะระบายก๊าซออกซิเจนออกไปโดยที่  รูระบายที่ปิดไว้จะเปิดออกและปล่อยก๊าซออกซิเจนกับอิเลคทรอไลท์บางส่วนออก มา  เนื่องจากเมื่ออิเลคทรอไลท์สูญเสียออกมาจากเซลแล้ว  ก็ไม่สามารถเติมกลับเข้าไปใหม่ได้  ดังนั้น  ความจุของเซลจะลดลงอย่างถาวรก็คือ  เซลนั้นจะมีความจุน้อยลงตลอดไป

การประจุอย่างเร่งด่วน  (Super – Fast  Recharging)   
        มีบางกรณีที่ผู้ใช้ต้องการที่จะประจุเซลภายในเวลาเพียง  2 – 3  นาที  ยกตัวอย่างเช่น  เครื่องบินเล็กที่ใช้แบตเตอรี่เป็นตัวจ่ายกำลังจะต้องการการประจุเซลที่หมด ประจุ  เพื่อที่จะนำเครื่องบินนี้  บินขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง  โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
       
        มันเป็นไปได้ที่จะประจุเซลอย่างเร่งด่วน  ด้วยอัตราการประจุถึง  4C  (4  เท่าของความจุ)  หรือมากกว่านี้  โดยวิธีการต่อไปนี้  คือวัดแรงดันของเซลและตัดกระแสที่ใช้ประจุออก  เมื่อแรงดันของเซลขึ้นสูงถึงค่าที่ตั้งไว้  อย่างไรก็ตามมีวิธีการที่ง่ายกว่า  แล้วก็เที่ยงตรงด้วย  โดยจากหลักความจริงที่ว่าเซลได้หมดประจุอย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะพยายามทำการ ประจุมันใหม่  ให้ประจุไฟเข้าโดยกำหนดค่ากระแสประจุคงที่ไว้ใช้เวลาในการประจุตามที่ต้อง การ  เช่นหลังจากเซลหมดประจุแล้ว  กระแสที่ใช้ในการประจุขนาด  3C  (3  เท่าของความจุ)  จะถูกป้อนเป็นเวลา  20  นาที  หรือจะใช้กระแสในการประจุเป็น  5C  (5  เท่าของความจุ)  ป้อนเข้าไปเป็นเวลา  12  นาที  เป็นต้น  แม้ว่าวิธีการนี้จะเป็นวิธีการที่ดี  เช่น  สำหรับนักเล่นเครื่องบินจำลองที่มีเพียงแหล่งจ่ายไฟเป็นเพียงแบตเตอรี่รถ ยนต์ก็ตาม  ก็เป็นสิ่งที่ควรระวังไว้  เนื่องจากการประจุมากเกินไปเพียง  2 – 3  วินาที  อาจจะทำให้เกิดการรั่วของเซลได้  กล่าวย่อๆ  ก็คือ  เมื่อจะใช้วิธีการนี้เซลจะต้องหมดประจุอย่างเต็มที่  และใช้กระแสในการประจุค่าที่แน่นอนเป็นระยะเวลาที่ถูกต้อง

ตารางที่  1
เซลแบบนิแคดขนาดต่างๆพร้อมทั้งค่าความจุของมัน

1  เซลแบบกระดุม
         เนื่องจากเซลแบบกระดุมนี้รั่วไม่ได้  จึงสำคัญมากที่จะต้องไม่ประจุมากเกินไปด้วยวิธีการใดก็ตาม  มิฉะนั้นเซลจะเกิดการระเบิดขึ้นได้  วิธีที่ดีก็คือ  จำกัดค่าของกระแสในการประจุให้มีค่าต่ำไว้  เช่น  ด้วยอัตรา  C/30  (3.33%  ของความจุ)  และใช้เวลาในการประจุประมาณ  1  วันครึ่ง  แม้ว่าที่อัตราการประจุขนาดนี้เราสามารถประจุได้เป็นเวลานานเท่าใดก็ตาม
 อย่าง ไรก็ตามเซลแบบนิแคดนี้จะสามารถประจุไฟได้เป็นเวลานาน  แม้ว่าจะใช้งานโดยการคายประจุอย่างรวดเร็ว  และประจุด้วยกระแสจำนวนมากๆ  มันก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยสามารถประจุได้เป็นร้อยๆ  ครั้ง  แต่ถ้าใช้วิธีประจุทีละน้อย  เราก็สามารถที่จะประจุได้เป็นพันๆ  ครั้งทีเดียว
        
        เรามาลองเปรียบเทียบระหว่างเซลแบบนิแคดกับเซลแบบปฐมภูมิ  เช่น  แบบอัลคาไลน์  แมงกานีส  ดู  แต่เนื่องจากไม่สามารถเปรียบเทียบได้โดยตรง  เนื่องจากขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง  เช่น  จำนวนเซลที่ใช้งาน  ราคาของเครื่องประจุ  (charge)  ขนาดและราคาของเซลและการนำไปใช้งาน  อย่างไรก็ตาม  เราสามารถที่จะเปรียบเทียบโดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนได้เช่นกัน
 ยก ตัวอย่างเช่น  เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นหนึ่ง  เป็นวิทยุเทปซึ่งใช้เซลขนาด  AA  โดยใช้งานสัปดาห์ละ  10  ชั่วโมงที่กระแส  200  มิลลิแอมป์  และแรงดันเหล่งจ่ายไฟประมาณ  2  ถึง  3  โวลท์  เราสามารถใช้เซล  2  เซลต่ออนุกรมกัน  และจ่ายกระแสออกมา  200  มิลลิแอมป์

        ถ้าเราประมาณราคาของเครื่องประจุเซลแบบนิแคดเท่ากับ  300  บาท  (อาจถูกกว่า)  เซลแบบนิแคดขนาด AA  ราคา30 บาท และเซลแบบอัลคาไลน์  แมงกานีส  ขนาดAA  ราคา  12  บาท  เราสามารถที่จะเปรียบเทียบราคาค่าใช้จ่ายได้ดังนี้

        เซลแบบอัลคาไลน์  แมงกานีส  2  เซล  (ความจุ  1,800  มิลลิแอมป์ - ชั่วโมง)  เราจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด  200  มิลลิแอมป์  ได้เป็นเวลา  9  ชั่วโมง  ส่วนเซลแบบนิแคด  2  เซล  (ความจุ  500  มิลลิแอมป์ - ชั่วโมง)  จะสามารถจ่ายกระแสขนาดนั้นได้เป็นเวลา  2.5  ชั่วโมง  ดังนั้นจึงใช้เซลแบบอัลคาไลน์  แมงกานีสจำนวน  1.11  ชุด  ทุกสัปดาห์เป็นเงิน  27  บาทต่อสัปดาห์  เช่นเดียวกันเซลแบบนิแคดจะต้องประจุไฟใหม่  4  ครั้ง  (โดยใช้ค่าใช้จ่าย  7  สตางค์ต่อการประจุ  1  ครั้ง  ซึ่งประมาณไว้สูง)  เป็นเงิน  28  สตางค์ต่อสัปดาห์

        เหตุผลนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่า  เครื่องวิทยุเทปนั้นถูกใช้บ่อยแค่ไหน  จุดคุ้มทุนก็จะเกิดเร็วเท่านั้น  ถ้าจำนวนเซลที่ใช้มากยิ่งขึ้น  และใช้เครื่องประจุเครื่องเดียว  จุดคุ้มทุนก็จะเกิดเร็วยิ่งขึ้น  ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว  ถ้าท่านใช้จำนวนเซลบ่อยครั้งเท่าไร  ท่านก็ควรจะใช้เซลแบบนิแคดมากขึ้นเท่านั้น  ถึงแม้ว่าการลงทุนในระยะแรกจะมีค่าสูง  แต่จุดคุ้มทุนก็จะเกิดขึ้นเร็วเท่านั้น  ซึ่งนี้ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ผลิตเซลถึงไม่ค่อยส่งเสริมในผลิตภัณฑ์เซล แบบนิแคดของตนเท่าไร  เนื่องจากจะไปทำลายธุรกิจอันใหญ่โต  และได้กำไรงามของเซลปฐมภูมิที่ตนผลิตอยู่




0 comments:

Post a Comment

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Powerade Coupons